Sunday, August 30, 2020

สะพรึง ! พบเต่าอัลลิเกเตอร์ยักษ์ หนักเกือบ 50 กก. ราวกับหลุดมาจากยุคดึกดำบรรพ์


นักวิจัยในฟลอริดา สหรัฐฯ จับเต่าอัลลิเกเตอร์ยักษ์ น้ำหนักตัวเกือบ 50 กิโลกรัม หน้าตาสะพรึงราวกับหลุดมาจากยุคดึกดำบรรพ์ คาดอายุอยู่ระหว่างช่วง 40-80 ปี

เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2563 เว็บไซต์ฟ็อกซ์นิวส์ เผยว่า เฟซบุ๊กสถาบันวิจัยปลาและสัตว์ป่าในฟลอริดา สหรัฐอเมริกา ได้แชร์ภาพพร้อมรายงาน ระบุว่า ทีมเจ้าหน้าที่พบเต่าอัลลิเกเตอร์ยักษ์ ในพื้นที่เขตเกนส์วิลล์ จำนวน 2 ตัว เป็นตัวผู้และตัวเมีย ตัวผู้หนัก 100 ปอนด์ (ประมาณ 45 กิโลกรัม)  ส่วนตัวเมียหนัก 46 ปอนด์ (ประมาณ 20 กิโลกรัม)

ทางเจ้าหน้าที่เผยว่า แม่น้ำ The New River เป็นธารน้ำที่มีผลผลิตทางชีวภาพต่ำ ดังนั้นการพบเต่าขนาดใหญ่ในลำธารขนาดเล็กเช่นนี้ จึงถือเป็นเรื่องที่ผิดปกติ เชื่อว่าพวกมันน่าจะถูกคุกคาม โดยคาดว่าเต่าทั้งคู่มีอายุอยู่ช่วงระหว่าง 40-80 ปี ภายหลังจากถ่ายภาพและเก็บข้อมูลทางเจ้าหน้าที่ก็ปล่อยพวกมันกลับสู่ธรรมชาติไป


National Geographic ระบุว่า เต่าอัลลิเกเตอร์ สามารถมีชีวิตอยู่ได้ระหว่าง 50-100 ปี ตัวผู้สามารถมีน้ำหนักได้ถึง 175 ปอนด์โดยเฉลี่ย ขณะที่บางตัวที่พบมีน้ำหนักสูงสุดถึง 220 ปอนด์ ปกติแล้วไม่มีนักล่าตามธรรมชาติ เว้นเสียแต่มนุษย์ ซึ่งส่งผลให้จำนวนของพวกมันลดน้อยลงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

ลักษณะเฉพาะของเต่าอัลลิเกเตอร์คือ ส่วนหัวและขาใหญ่ จนไม่สามารถหดเข้าในกระดองได้ กระดองหลังมีสันหนาเป็นปุ่ม คล้ายหลังของจระเข้ จึงเป็นที่มาของชื่อ อัลลิเกเตอร์ มันมีดวงตาที่ดุดันน่ากลัว มีจงอยปากแหลม และหางที่หนาใหญ่ 



สำหรับ เต่าอัลลิเกเตอร์ หรือเต่าอัลลิเกเตอร์ สแนปปิ้ง (Alligator snapping turtle) เป็นเต่านํ้าจืดที่ใหญ่ที่สุด อยู่ในวงศ์เต่าสแนปปิ้ง (Chelydridae) ซึ่งเป็นเต่าเพียงชนิดเดียวที่เหลืออยู่ในสกุล Macrochelys ขณะที่ชนิดอื่นได้สูญพันธุ์ไปหมดแล้วตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ มันจึงถือได้ว่าเป็น ซากดึกดำบรรพ์ที่มีชีวิตชนิดหนึ่ง


ขอบคุณข้อมูลจาก FoxnewsFWCResearchFWC Fish and Wildlife Research Institute
https://hilight.kapook.com/view/205879

Monday, July 13, 2020

เปิดชะตากรรมสลด วาฬสูญฟันเกือบหมดปาก หงุดหงิดแทะขอบสระ หลังถูกขังในธีมปาร์ค

ภาพจาก  One Voice

       เปิดชะตากรรมสลด วาฬเพชฌฆาตสูญเสียฟันเกือบหมดปาก ได้รับความทรมานทั้งกายใจ หลังถูกขังในธีมปาร์ค ชี้แทะขอบสระจนฟันพัง องค์กรสิทธิสัตว์จี้รัฐบาลฝรั่งเศส ยุติการเพาะพันธุ์สัตว์น้ำในอควาเรียม

       วันที่ 10 กรกฎาคม 2563 เว็บไซต์ Ladbible รายงานว่า องค์กรสิทธิสัตว์ในประเทศฝรั่งเศส ได้ออกมาเผยภาพชวนช็อกของวาฬเพชฌฆาตกับชะตากรรมน่าสลด หลังพบว่า Inouk วาฬเพชฌฆาตที่ถูกขังอยู่ในธีมปาร์คแห่งหนึ่ง ได้สูญเสียฟันไปจนเกือบหมดทั้งปาก จากการใช้ฟันแทะและกัดกำแพงคอนกรีตในสระของมัน ในช่วงที่ภาวะจิตใจของไม่ปกติ เกิดความหงุดหงิดจากการถูกขังอยู่ในสระ

        สำหรับ Inouk เป็นวาฬเพชฌฆาตที่อยู่ในความดูแลของ Marineland Antibes ธีมปาร์คในโกตดาซูร์ ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างเมือนคานส์และเมืองนีซ ของฝรั่งเศส มันเป็นหนึ่งในสัตว์ทะเลที่ถูกนำมาจัดแสดงอยู่ในสถานที่ดังกล่าว โดยข้อมูลจากองค์กร One Voice  เผยว่า การที่วาฬเพชฌฆาตตัวนี้ต้องอาศัยอยู่ในสระน้ำ ซึ่งมีขนาดเล็กมากเมื่อเทียบกับท้องสมุทรที่ควรเป็นแหล่งอาศัยตามธรรมชาติ ทำให้สัตว์ได้รับความทุกข์ทรมานและเกิดภาวะหงุดหงิด นำมาสู่พฤติกรรมกัดแทะกำแพงคอนกรีดในสระ จนฟันเสียหาย นอกจาก Inouk จะเกิดแผลที่เหงือก ฟันสึกไปจนหมด มันยังมีปัญหาในการขย้อน และมีกรดในกระเพาะอาหารด้วย


       One Voice ชี้ว่า ที่จริงแล้วทางองค์กรควรจะได้ประชุมร่วมกับทางการฝรั่งเศสในวันที่ 9 กรกฎาคม ที่ผ่านมา เพื่อหารือเรื่องการสั่งห้ามไม่ให้มีการกักขังรวมถึงการค้าขายสัตว์ทะเล มันป็นการประชุมที่พวกเขาเฝ้ารอมานาน แต่การประชุมนี้กลับถูกเลื่อนออกไปโดยไม่มีคำอธิบายใด ๆ

        ทางองค์กรยังระบุอีกว่า Inouk ซึ่งเป็นวาฬเพชฌฆาตตัวเดียวในฝรั่งเศสอาศัยอยู่ใน Marineland Antibes การที่มันไปกัดกินแพงของสระ ทำให้มันได้รับความเจ็บปวดทรมานอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลกระทบทางร่างกาย อันเกิดจากความทรมานทางจิตใจ

        ขณะนี้ทางองค์กรดังกล่าวยังเรียกร้องให้รัฐบาลฝรั่งเศส สั่งแบนการเพาะพันธุ์สัตว์น้ำในอคาเรียมด้วย โดยชี้ว่ามีบ่อยครั้งที่ลูกวาฬหรือโลมาคลอดออกมาได้ไม่นานก็ตาย พวกเขายังต้องการให้มีการห้ามซื้อขายสัตว์ทะเล ที่ควรจะได้ใช้ชีวิตอยู่ในธรรมชาติด้วย

        โดย มูเรียล อาร์นัล ประธานผู้ก่อตั้ง One Voice ระบุว่า สัตว์เหล่านี้มีความฉลาดสูงและจำเป็นต้องอยู่ในทะเล สระน้ำไม่อาจทดแทนแหล่งอาศัยตามธรรมชาติของพวกมันได้ ในทะเลพวกมันสามารถว่ายน้ำได้เป็นร้อยไมล์ต่อวัน แต่เมื่อถูกขังอยู่ในกรง ทำให้กล้ามเนื้อของพวกมันอ่อนแอ และเกิดความเบื่อ เธอมองว่าวาฬเหล่านี้ควรได้อยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ในมหาสมุทร เพื่อที่มันจะได้ว่ายน้ำในระยะทางไกล ๆ เป็นแนวตรงได้ แทนที่จะว่ายวนอยู่ในสระ ให้พวกมันได้เรียนรู้วิธีออกล่าอาหาร และใช้ชีวิตในสถานที่ที่ได้รับการคุ้มครอง

        ทั้งนี้ One Voice ยังได้ยื่นฟ้องรัฐบาลฝรั่งเศส ที่ปล่อยให้สัตว์น้ำเหล่านี้ได้รับความทรมาน โดยพวกเขาเรียกร้องเงินชดเชยจำนวน 500,000 ยูโร หรือราว 17 ล้านบาท เพื่อจะนำไปสร้างเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทางทะเลต่อไป


ขอบคุณข้อมูลจาก Ladbibleone-voice.frladbible.com
https://hilight.kapook.com/view/204264

Saturday, May 30, 2020

ตำรวจอินเดียจับพิราบยัดกรงขัง หลังต้องสงสัยเป็นสายลับข้ามชาติ พบมีรหัสลับ !


          ตำรวจอินเดียจับนกพิราบยัดกรงขัง หลังต้องสงสัยเป็นสายลับข้ามชาติ คาดถูกส่งมาจากปากีสถาน ก่อนเจ้าของนกปรากฏตัว ร้องเป็นนกธรรมดา ขอส่งกลับคืน
 
          เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2563 เว็บไซต์ Unilad เผยรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจอินเดีย ได้ทำการจับกุมผู้ต้องสงสัยว่าเป็นสายลับจากต่างแดน ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นเจ้านกพิราบตัวหนึ่ง ภายหลังจากถูกพบว่าบินเข้ามาใกล้บ้านหลังหนึ่งในพื้นที่ชายแดน และดูเหมือนว่าจะมีรหัสลับบางอย่างอยู่ที่ขาของมัน
 
          ตามรายงานของเว็บไซต์ไทม์สออฟอินเดีย ระบุว่า นกพิราบตัวดังกล่าวถูกจับได้เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม ที่ผ่านมา โดยชาวบ้านในหมู่บ้านมันยารี ซึ่งอยู่ในเขตพื้นที่ฮีรานาการ์ ของรัฐชัมมูและแคชเมียร์ ใกล้กับเขตแดนระหว่างอินเดียและปากีสถาน เป็นคนพบมัน ก่อนจะแจ้งเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นให้เข้ามาตรวจสอบ แล้วนำตัวมันไปขังกรงไว้

          ลักษณะพิเศษของเจ้านกพิราบที่ทางการอินเดียเชื่อว่าเป็นสายลับตัวนี้คือ มีแหวนสวมอยู่ที่ขาข้างหนึ่งของมัน ซึ่งบนแหวนมีเลขรหัสติดอยู่ นอกจากนี้ตัวของมันยังถูกทาสีชมพูแต้มไว้ด้วย ทางเจ้าหน้าที่เผยว่า ไม่ทราบแน่ชัดว่ามันมาจากไหน ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการสืบสวน
 
          ด้านชาวบ้านรายหนึ่งในพื้นที่ปากีสถาน ได้เผยกับสื่อท้องถิ่นอ้างตัวว่าเป็นเจ้าของนกพิราบตัวดังกล่าว แต่ปฏิเสธว่ามันไม่ใช่นกพิราบสายลับ โดยแหวนที่มีเลขอยู่นั้น เป็นเบอร์โทรศัพท์ที่ตนเขียนติดไว้ ทั้งนี้ เขายังบอกว่า เขาเป็นคนรักนกพิราบ เลี้ยงไว้หลายสิบตัว เมื่อวันก่อนมีงานเลี้ยงที่หมู่บ้านของเขา ที่ตั้งอยู่ใกล้เขตแดนอินเดียประมาณ 4 กิโลเมตร เขาได้ปล่อยนกเพื่อเฉลิมฉลอง ก่อนที่ตัวหนึ่งจะบินหายไป
 
          ชาวปากีสถานรายนี้ได้ร้องเรียนไปยังนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ของอินเดีย ให้ส่งนกของตนกลับมา โดยขอให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการตามระเบียบข้อปฏิบัติและเคารพซึ่งกันและกัน พร้อมทั้งขอเน้นย้ำว่า นกพิราบ เป็นเพียงสัตว์ผู้บริสุทธิ์ นกพิราบเป็นสัญลักษณ์ของความสงบ ความรัก และความอดทน ไม่มีทางที่มันจะไปเป็นสายลับแน่นอน  

ขอบคุณข้อมูลจาก UniladTimes of India

Wednesday, February 19, 2020

เหมียวถูกธนูปักหัว คนยิงกะเอาชีวิต โซซัดโซเซรอความตาย แต่พบปาฏิหาริย์

ภาพจาก เฟซบุ๊ก Animal Welfare League of Arlington

          แมวถูกธนูยิงใส่หัว ลูกธนูทะลุหางตาเข้าไปในตัว อาการสาหัสปางตาย แต่รอดชีวิตมาได้อย่างปาฏิหาริย์ และได้รับการช่วยเหลือจากคนใจดี

ภาพจาก เฟซบุ๊ก Animal Welfare League of Arlington

           ย้อนกลับไปในวันวาเลนไทน์ ซึ่งเป็นวันแห่งความรัก และควรเป็นวันแห่งความสุขของทุกคน แต่สัตว์โลกตัวน้อยที่น่าสงสารตัวหนึ่งกลับต้องพบเจอกับชะตากรรมสุดโหดร้ายป่าเถื่อน โดยในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2563 แมวสีส้มเพศผู้ตัวหนึ่งเดินโซซัดโซเซอยู่ริมถนนในรัฐเวสต์เวอร์จิเนีย สหรัฐฯ

          เจ้าแมวอยู่ในสภาพอิดโรยและได้รับบาดเจ็บสาหัสมาก มันโดนคนจิตใจอำมหิตยิงธนูใส่หัว เหมือนตั้งใจกะให้มันตาย ธนูดังกล่าวได้พุ่งทะลุบริเวณข้างดวงตาข้างขวา ปักลึกเข้าไปในตัวมัน

          เหมียวรอดชีวิตมาได้อย่างปาฏิหาริย์ แต่ชะตาของมันกำลังจะดับลง ทว่ากลุ่มคนใจดีได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที และพวกเขาพยายามทุกวิถีทาง เพื่อช่วยเหลือแมวน่าสงสารตัวนี้


           เรื่องราวของเจ้าเหมียวน่าสงสาร ถูกหยิบยกมารายงานโดยเว็บไซต์เมโทร เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2563 โดยเจ้าหน้าที่จากมูลนิธิช่วยเหลือสัตว์ Animal Welfare League of Arlington ในอาร์ลิงตันเคาน์ตี รัฐเวอร์จิเนีย สหรัฐฯ ได้รับรู้เรื่องราวของเหมียวดังกล่าวและขอรับตัวมันมาดูแลในทันที เพราะถ้าหากไม่มีใครพบเห็น เจ้าเหมียวส้มตัวนี้คงต้องนอนตายอยู่ริมถนน จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้พามันไปยังโรงพยาบาลสัตว์เป็นการเร่งด่วน
          สัตวแพทย์พบว่าแผลบริเวณตามีขนาดใหญ่มาก เป็นรูกว้างหลายเซนติเมตร และฟิล์มเอกซเรย์เผยให้เห็นว่าธนูปักทะลุลึกเข้าไปในตัวแมว แต่เคราะห์ดีอย่างยิ่งที่ธนูไม่แทงโดนอวัยวะสำคัญ


            สัตวแพทย์ได้ให้ยาแก้ปวด และรีบทำการผ่าตัดนำธนูออกให้กับเจ้าเหมียวส้ม ขณะนี้มันพ้นขีดอันตรายแล้ว และกำลังพักฟื้นอยู่ที่มูลนิธิ ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ดูแลอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ได้ตั้งชื่อให้กับเหมียวผู้รอดชีวิตว่า คิวปิด (Cupid) ซึ่งมีความหมายว่า กามเทพ เพราะมันถูกช่วยมาได้ในวันแห่งความรัก

          "มันเป็นการผ่าตัดใหญ่ที่สุ่มเสี่ยงมากสำหรับแมวอายุน้อย และผอมซูบ น้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ ดังนั้นเราระมัดระวังอย่างมาก และพวกเราก็ไม่สามารถการันตีได้ 100 เปอร์เซ็นต์ว่าคิวปิดจะรอดชีวิตจากการผ่าตัดครั้งนี้หรือไหม แต่เราทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยชีวิตมัน แล้วก็บอกได้เลยว่า เหมียวส้มตัวนี้คือนักสู้ที่แท้จริง" สัตวแพทย์ กล่าว


          หลังจากผ่าตัด คิวปิดได้เผยให้เห็นโฉมหน้าของเจ้าเหมียวที่น่ารัก และขี้อ้อน มันรักมนุษย์ที่ดูแลมัน แม้ว่าจะถูกมนุษย์ทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสมากก็ตาม ทั้งนี้ คิวปิดยังไม่หายสนิทและยังคงต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง ที่น่ากังวลก็คือ คิวปิดมีอาการติดเชื้อด้วย ดังนั้นมันคงไม่มีทางหายขาดได้ในข้ามคืน

          ในตอนนี้สัตวแพทย์ต้องรักษามันด้วยการให้ยาฆ่าเชื้อ 2 ตัว แล้วรอดูอาการต่อไปว่าจะมีการติดเชื้ออีกหรือไม่ และจะเป็นการติดเชื้อแบบไหน อย่างไร ทางด้านมูลนิธิก็ได้เปิดระดมทุนเพื่อหาเงินค่าผ่าตัดและค่ารักษาพยาบาลให้กับคิวปิด ซึ่งยอดอยู่ที่ 6,500 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 202,670 บาท


          ล่าสุด ทางเพจมูลนิธิ Animal Welfare League of Arlington ได้โพสต์อัปเดตอาการของคิวปิด พร้อมกับประกาศข่าวดีว่ามีคนใจบุญร่วมสมทบทุนบริจาคช่วยเหลือคิวปิดอย่างท่วมท้น จนยอดเงินทะลุไปถึง 65,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 2,026,700 บาท ! ซึ่งนับว่าเกินความคาดหมายไปอย่างมาก เจ้าหน้าที่ทุกคนซาบซึ้งและขอบคุณกับทุกน้ำใจที่ได้รับ คิวปิดเองก็คงยินดีมากเช่นกัน


          ตอนนี้เจ้าเหมียวไม่ต้องไปเร่ร่อนอยู่ข้างถนน และเสี่ยงชีวิตอีกต่อไปแล้ว มันพ้นภัยจากมือคนใจร้าย มาอยู่ในอ้อมกอดของคนใจดี ทั้งนี้ก็ขอให้เหมียวกามเทพน้อย ๆ ตัวนี้หายจากการบาดเจ็บและกลับมาแข็งแรงได้ในเร็ววันนะ