ภาพจาก Fredy Thuerig / Shutterstock.com
รู้จักกับ ลองเยียร์เบียน ดินแดนอันหนาวเหน็บตอนเหนือของนอร์เวย์ ที่การตายเป็นเรื่องผิดกฎหมาย ต้องออกนอกเมืองก่อนถึงวาระสุดท้าย เพื่อไม่ให้มีการฝังศพในเมือง
การตายนั้นถือเป็นเรื่องธรรมชาติที่ไม่มีใครหนีพ้น ไม่ว่าที่ใดก็ตามบนโลกย่อมต้องมีการตายเกิดขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นกลับมีสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งการตายได้กลายมาเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย นั่นก็คือ เมืองลองเยียร์เบียน (Longyearbyen) แห่งเกาะสฟาลบาร์ ดินแดนขั้วโลกอันหนาวเหน็บ ที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศนอร์เวย์
แน่นอนว่าการออกกฎหมายแบบนี้ไม่ได้ช่วยให้ผู้คนในเมืองอยู่ยงคงกระพัน การตายของผู้คนที่เมืองแห่งนี้ยังคงมีอยู่ เพียงแต่ในวาระสุดท้ายของชีวิตพวกเขาจำต้องเดินทางออกไปยังนอกเมืองเสียก่อน ไม่สามารถลาโลกได้ขณะอยู่ในเมืองแห่งนี้ แน่นอนว่าการออกกฎหมายแต่ละข้อนั้นย่อมไม่ใช่เรื่องไร้สาระ แต่มันมีเหตุผลที่สำคัญที่อธิบายได้ว่าเพราะเหตุใด จึงไม่อนุญาตให้มีการตายเกิดขึ้นในเมือง
โดยข้อมูลจากเว็บไซต์ ladbible.com ซึ่งได้หยิบยกเรื่องราวของเมืองลองเยียร์เบียน มานำเสนอเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2561 เปิดเผยว่า สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นเนื่องมาจากเมืองแห่งนี้ ตั้งอยู่ในเขตอาร์กติก เซอร์เคิล (Arctic Circle) หรือพื้นที่ในวงกลมละติจูดที่อยู่เหนือสุดของโลก ทำให้สภาพภูมิอากาศในเมืองนั้นมีความหนาวเย็นระดับเยือกแข็ง ไม่ว่าบนดินหรือใต้ผืนดินต่างก็หนาวเหน็บจนถูกแช่แข็งได้ไม่ยาก
ภาพจาก Fredy Thuerig / Shutterstock.com
ด้วยความหนาวเหน็บสุดขั้วเช่นนี้เอง ทำให้ศพของชาวเมืองที่ถูกฝังอยู่ใต้ดินนั้น ถูกแช่แข็งให้คงสภาพอยู่เช่นนั้น ไม่ย่อยสลายไปตามกาลเวลาดังศพที่ถูกฝังในพื้นที่อื่น ๆ ทำให้พื้นที่ที่จะใช้ในการฝังศพนั้นมีจำกัด อีกทั้งเหตุผลสำคัญที่สุดในการออกกฎหมายห้ามเสียชีวิตในเมือง คือเพื่อป้องกันการระบาดของโรค เนื่องจากเชื้อโรคใดก็ตามที่อยู่ภายในศพซึ่งถูกแช่แข็ง จะถูกทำให้คงสภาพไม่สลายไปด้วยเช่นกัน
ย้อนกลับไปในปี 2461 โลกเกิดการระบาดครั้งใหญ่ของโรคไข้หวัดใหญ่ ซึ่งคร่าชีวิตคนบนโลกไปถึง 50-100 ล้านชีวิต ซึ่งในครั้งนั้นได้มีคนของเมืองลองเยียร์เบียน เสียชีวิตจากโรคดังกล่าวถึง 11 คน ศพของพวกเขาเหล่านี้ได้ถูกฝังไว้ใต้ดินของเมือง
กระทั่งเวลาผ่านไปในปี 2493 ชาวเมืองจึงได้พบความจริงว่าศพที่ฝังอยู่ใต้ดินนั้นไม่เน่าสลาย ทำให้เกิดการเปลี่ยนกฎหมายไม่ให้มีการตายเกิดขึ้นภายในเมืองแห่งนี้ เพื่อไม่ให้มีใครถูกฝังในเมืองอีก ป้องกันการเกิดโรคระบาดขึ้น
นอกจากนี้ยังมีเหตุการณ์หนึ่งที่ตอกย้ำถึงความเป็นจริงเรื่องที่เชื้อโรคต่าง ๆ จะยังถูกเก็บรักษาอยู่ภายในตัวศพ โดยในปี 2533 ได้มีกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ที่เข้ามาศึกษาเรื่องผู้เสียชีวิตบนเกาะ ซึ่งครั้งนั้นพวกเขาได้ขุดศพหนึ่งในผู้เสียชีวิตจากเหตุไข้หวัดใหญ่ระบาดขึ้นมา และแล้วเชื้อไวรัสก็ได้ทำให้นักวิทยาศาสตร์ในกลุ่มนั้นรายหนึ่งเสียชีวิต
ข้อมูลเพิ่มเติมจาก dailymail.co.uk
https://hilight.kapook.com/view/171536
No comments:
Post a Comment