Friday, November 20, 2015

เปิด 10 อันดับภูเขาไฟแสนร้อนระอุที่อันตรายมากที่สุดในโลก




        โลกของเรานั้นเต็มไปด้วยธรรมชาติหลากหลายที่น่าทึ่ง ธรรมชาติเหล่านี้ทำให้โลกของเราเป็นโลกที่สมบูรณ์และสวยงาม แต่ในความงามเหล่านั้นก็มีอันตรายใหญ่หลวงซ่อนเร้น ที่เราเรียกกันติดปากว่า ภัยธรรมชาติ”

        หนึ่งในภัยธรรมชาติที่ร้ายแรงที่สุดคือ การระเบิดของภูเขาไฟ ที่เป็นผลมาจากการสะสมของความร้อนใต้เปลือกโลก จนทำให้แมกมาเคลื่อนตัวด้วยแรงดันออกมาสู่ผิวของเปลือกโลก

        ในการระเบิดแต่ละครั้งของภูเขาไฟก่อให้เกิดแรงสั่นสะเทือนจนเกิดแผ่นดินไหว เกิดการปะทุของลาวาร้อนระอุที่อาจเคลื่อนตัวได้เร็วถึง 50,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เกิดเถ้าภูเขาไฟกระจัดกระจายทั่วบรรยากาศ และเกิดคลื่นยักษ์สึนามิ

        เนื่องจากอันตรายและผลกระทบจากภูเขาไฟที่มีมากมาย เว็บไซต์ Conservation Institute จึงได้รวบรวม 10 อันดับภูเขาไฟที่ยังไม่ดับที่อันตรายที่สุดในโลกมาให้ได้ชมกัน แต่ละอันดับเรียกได้ว่าน่าพรั่นพรึงสุด ๆ เลยทีเดียว

อันดับที่ 10 ภูเขาไฟเมานาโลอา เกาะใหญ่ รัฐฮาวาย สหรัฐอเมริกา

        ภูเขาไฟเมานาโลอา (Mauna Loa) เป็นภูเขาไฟที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีเนื้อที่ประมาณ 5,180 ตารางกิโลเมตร อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติฮาวาย รัฐฮาวาย สหรัฐอเมริกา จัดเป็นภูเขาไฟมีพลังที่ยังไม่ดับสนิท โดยเกิดการระเบิดทุก ๆ 3 ปีครึ่ง และการระเบิดครั้งล่าสุดเมื่อปี 2527

ภาพจาก HawaiiNilvi  

 
อันดับที่ 9 ภูเขาไฟตาอัล จังหวัดบาตังกัส เกาะลูซอน ประเทศฟิลิปปินส์

           ภูเขาไฟตาอัล (Taal) เป็นเกาะภูเขาไฟที่ตั้งอยู่กลางทะเลสาบตาอัล บนเกาะลูซอน ประเทศฟิลิปปินส์ มันอยู่ห่างจากกรุงมะนิลาไปเพียง 50 กิโลเมตรเท่านั้น นับตั้งแต่การระเบิดครั้งแรกคือในปี 2115 ภูเขาไฟตาอัลก็ได้ระเบิดอย่างต่อเนื่องถึง 33 ครั้งจนปัจจุบัน

ภาพจาก Wikipedia  
 

อันดับที่ 8 ภูเขาไฟอูลาวัน เกาะนิวบริเทน ประเทศปาปัวนิวกินี

              ภูเขาไฟอูลาวัน (Ulawun) ตั้งอยู่กลางเกาะนิวบริเทน ประเทศปาปัวนิวกินี มันเป็นภูเขาไฟที่ยังทรงพลังที่สุดในโลก มีการระเบิดครั้งใหญ่ที่แสนสาหัสมากกว่า 22 ครั้งตั้งแต่ช่วงปี 2243  และประชาชนที่อาศัยอยู่ใกล้เคียงก็ต่างบอกเล่ากันว่ามีการพบเห็นการระเบิด เล็ก ๆ น้อย ๆ อยู่บ่อยครั้งจนเริ่มชินไปเสียแล้ว

ภาพจาก Volcano Cafe


อันดับที่ 7 ภูเขาไฟนีรากองโก อุทยานแห่งชาติวิรุงกา สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก

            ภูเขาไฟนีรากองโก (Nyiragongo) เป็นภูเขาไฟแบบกรวยภูเขาไฟสลับชั้น ปากปล่องของมันมีเส้นผ่านศูนย์กลางที่กว้างถึง 20 กิโลเมตร และมักจะมีลาวาอยู่เต็มเปี่ยมเสมอ จนได้ชื่อว่าเป็นทะเลสาบลาวา ในปี 2520 ลาวาเหล่านี้ไหลนองออกจากปากปล่องและมุ่งหน้าลงสู่พื้นเบื้องล่างด้วยความ เร็ว 96 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำลายหมู่บ้านใกล้เคียง คร่าชีวิตและทำให้คนได้รับบาดเจ็บนับหมื่นราย ส่วนในปี 2545 การระเบิดของมันฆ่าคนไป 147 ราย และทำให้คนอีกนับแสนกลายเป็นคนไร้ที่อยู่อาศัย

ภาพจาก Wikipedia
 

อันดับที่ 6 ภูเขาไฟเมราปี เกาะชวากลาง ประเทศอินโดนีเซีย

               ภูเขาไฟเมราปี (Merapi) มีความหมายตรงตัวว่า “ภูเขาไฟ” มาจากคำว่า เมรุ ในภาษาสันสกฤตที่แปลว่า ภูเขา และ อาปี ที่แปลว่า ไฟ มันเป็นหนึ่งในภูเขาไฟ 129 ลูกของอินโดนีเซียที่ยังมีพลังอยู่มากที่สุด คาดการณ์กันว่ามันมีอายุอย่างน้อย 10,000 ปี และเมื่อปี 2553 การระเบิดของมันฆ่าคนไป 353 คน รวมถึงอีก 320,000 คนต้องไร้ที่อยู่อาศัยจากภัยธรรมชาติครั้งนั้น

 ภาพจาก Visit Merapi


อันดับที่ 5 ภูเขาไฟกาเลราส ประเทศโคลอมเบีย

                ภูเขาไฟกาเลราส (Galeras) ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติกาเลราส เมืองนาริโน่ ประเทศโคลอมเบีย นักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาวิชาวิทยาภูเขาไฟ ได้ลงความเห็นว่ามันน่าจะระเบิดมามากกว่า 1 ล้านปีแล้ว การระเบิดที่ถูกบันทึกไว้ได้ครั้งแรกของภูเขาไฟกาเลราส เกิดขึ้นเมื่อปี 2521 และระเบิดอีกครั้งในปี 2531 ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้มันเป็นภูเขาไฟที่ไม่มีการปะทุใด ๆ การระเบิดของมันเมื่อปี 2521 ทำให้นักวิทยาศาสตร์มีลางสังหรณ์ว่ามันอาจระเบิดอีกครั้งในเร็ว ๆ นี้ และที่สำคัญคือมีเมืองชื่อพาสโต้ตั้งอยู่ใกล้ ๆ กับภูเขาไฟกาเลราส ซึ่งมีจำนวนประชากรมากกว่า 450,000 คน

ภาพจาก Wikipedia
 


อันดับที่ 4 เกาะซากุระ จังหวัดคาโกชิมะ ประเทศญี่ปุ่น

             เกาะซากุระ (Sakurajima) หรือฉายาว่า ภูเขาไฟวิสุเวียสแห่งตะวันออก มันเป็นเกาะภูเขาไฟชนิดกรวยสลับชั้นและยังมีพลังอยู่มาก แต่เดิมเป็นเกาะธรรมดา แต่เกิดการปะทุของภูเขาไฟที่กลางเกาะในปี 2457 ทำให้ลาวาไหลเชื่อมเกาะเข้ากับแผ่นดินใหญ่ เกาะซากุระมียอดเขาสามลูก ได้แก่ ยอดคิตะ (ยอดทิศเหนือ) ยอดนากะ (ยอดกลาง) และยอดมินามิ (ยอดทิศใต้) ซึ่งเป็นยอดที่ยังคงมีพลังอยู่ในปัจจุบัน และมักพบเห็นการปะทุเล็ก ๆ น้อย ๆ อยู่บ่อยครั้ง แต่หากมันเกิดปะทุรุนแรงขึ้นมา ประชาชนชาวเมืองคาโกชิมะราว 700,000 รายจะตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวงทันที

ภาพจาก Kame 38 

อันดับที่ 3 ภูเขาไฟโปโปคาเตเปตีเปเติล ประเทศเม็กซิโก

               ภูเขาไฟโปโปคาเตเปตีเปเติล (Popocatépetl) ตั้งอยู่ห่างออกไปจากกรุงเม็กซิโกซิตี้เพียง 56 กิโลเมตร และเคยระเบิดมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม ปี 2543 ประชาชนราว 4 หมื่นคนต้องอพยพหนีตายทันที และขณะนี้ มีประชาชนราว 9 ล้านคนอาศัยอยู่ในรัศมีของการระเบิด หากเกิดการระเบิดขึ้นอีกครั้ง มันจะกลายเป็นหายนะอันใหญ่หลวงที่สุดของชาวเม็กซิโก

ภาพจาก Wikipedia 

อันดับที่ 2 ภูเขาไฟวิสุเวียส ประเทศอิตาลี

               ภูเขาไฟวิสุเวียส (Vesuvius) เป็นภูเขาไฟเพียงแห่งเดียวที่ยังไม่ดับในทวีปยุโรป ตั้งอยู่ใกล้เมืองนาโปลี ประเทศอิตาลี การระเบิดครั้งใหญ่ที่มีชื่อเสียงที่สุดเกิดขึ้นในวันที่ 24 สิงหาคม 662 เถ้าถ่านและลาวาหลั่งไหลเข้าทับถมเมืองปอมเปอีและเฮอร์คิวเลเนียมทั้งเมือง จนกลายเป็นเมืองโบราณที่ลือกันว่าต้องคำสาปของพระเจ้าจวบจนทุกวันนี้ นักวิทยาศาสตร์คาดกันว่าภูเขาไฟวิสุเวียสน่าจะระเบิดทุก ๆ 20 ปี และการระเบิดครั้งล่าสุดคือเมื่อปี 2487 ฉะนั้นหลายคนก็ยังคงหวั่นใจว่าภูเขาไฟอาจจะระเบิดเมื่อไรก็ได้

ภาพจาก Living Planet

อันดับที่ 1 อุทยานแห่งชาติเยลโล่สโตน ประเทศสหรัฐอเมริกา

        แอ่งภูเขาไฟรูปกระจาดใต้ดินเยลโล่สโตน (Yellowstone Caldera) ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติเยลโล่สโตน ประเทศสหรัฐอเมริกา มันเป็นภูเขาไฟใต้ดินที่ใหญ่และทรงพลังมากที่สุดในสหรัฐฯ มันอยู่ใต้ดินอุทยานลึกลงไปราว 5 ไมล์ (ราว 8 กิโลเมตร) ทำให้เกิดบ่อน้ำพุร้อนมากมายหลายพันบ่อในอุทยาน

        ในอดีตมันเคยปะทุมาแล้วถึง 3 ครั้ง เมื่อ 2 ล้านปี 1.3 ล้านปี และเมื่อ 642,000 ปีก่อนตามลำดับ และอายุของอุทยานแห่งชาติเยลโล่สโตนตามหลักฐานทางธรณีวิทยาจนถึงปัจจุบันคือ 640,000 ปี ซึ่งหมายความว่าอีกไม่นานนี้ โลกเราอาจได้พบกับสุดยอดภูเขาไฟระเบิดครั้งใหญ่ที่สุดก็เป็นได้

        หากภูเขาไฟเยลโล่สโตนเกิดระเบิดขึ้นมาอีกครั้ง จะทำให้เกิดแรงระเบิดที่มีพลังงานเท่ากับระเบิดนิวเคลียร์ราว 1,000 ลูก ในทุก ๆ 1 วินาที ผู้คนที่อาศัยอยู่โดยรอบราว 87,000 รายจะถูกแรงระเบิดฆ่าในทันที และฝั่งตะวันตกของอเมริกาเกือบทั้งหมดจะกลายเป็นพื้นที่เสี่ยงภัยจากแรง ระเบิดของมัน นักวิทยาศาสตร์ลงความเห็นสรุปไว้ว่า การระเบิดครั้งต่อไปที่เยลโล่สโตนนั้นจะเกิดขึ้นแน่นอน เพียงแต่ไม่มีใครรู้ว่าจะเป็นเมื่อไรกันแน่

ภาพจาก Wikipedia
 

http://hilight.kapook.com/view/129364

No comments:

Post a Comment